Ethereum เป็น Blockchain  แพลทฟอร์มหนึ่ง ที่มีสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า Ether ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลส่วนตัวบนฐานข้อมูลของคนอื่นบนเซิร์ฟเวอร์ ยกตัวอย่างเจ้าของข้อมูลส่วนของเรารายใหญ่ที่สุดอันดับโลกที่คุ้นเคยกัน ได้แก่  Facebook , Amazon และ Google ที่เก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลของผู้ใช้ไว้บนฐานข้อมูลของตัวเองแต่เพียงเท่านั้น ความเสี่ยงที่ตามมาก็คือ หากฐานข้อมูลเหล่านั้นถูกโจรกรรม หรือถูกเจาะเข้าไปได้ มันจะสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล กล่าวคือ Ethereum ถูกสร้างมาเพื่อในการกำจัดตัวกลางในการเก็บข้อมูลของ บุคคลที่สาม (Third-Party) บนโลกอินเทอร์เน็ตออกไป ซึ่งแตกต่างจาก Bitcoin ที่ไม่ได้เป็นแค่สกุลเงินดิจิทัลให้คนแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว แต่เป็น Open Source อนุญาตให้ทุกคนสามารถพัฒนา เขียนข้อมูล หรือสร้างแอปพลิเคชันต่าง ๆ ลงบนแพลทฟอร์มได้ ซึ่งทำให้มีการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลาย

การทำงานของแอปพลิเคชันที่ถูกสร้างบน Ethereum นั้น จะไม่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ใดเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง แต่จะทำงาน และประมวลผลข้อมูลโดยผ่านคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายของระบบ โดยแอปพลิเคชันที่ถูกสร้างขึ้นมาจะถูกเรียก Decentralized Applications (dApps) ข้อดีของ dApps คือ แทนเราจะให้เซิร์ฟเวอร์ที่ใดที่หนึ่งทำงานและประมวลผล แต่แพลทฟอร์ม Ethereum จะให้คอมพิวเตอร์ในระบบช่วยกันเป็นเสมือนเซิร์ฟเวอร์ในการทำงานของแอปพลิเคชันนั้น ซึ่งตราบใดก็ตามที่ยังมีคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายยังคงเปิดใช้งานบน Ethereum Network อยู่ แอปพลิเคชันก็จะยังสามารถทำงานต่อไปได้เสมอ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงในเรื่องการปิดตัวของแอปพลิเคชันนั้น

ส่วนเหรียญ Ether ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้กันในระบบของ Ethereum Blockchain เพื่อใช้ในการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้คนที่ช่วยในการทำงานของแอปพลิเคชันของเรา ระบบโดยแรกเริ่มก็ใช้แนวคิด Proof of Work เช่นเดียวกันกับของ Bitcoin ก็คือการให้นักขุด ซึ่งใน Ethereum Blockchain จะเรียกพวกว่า Validator เป็นผู้ช่วยยืนยันความถูกต้อง ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนเป็น Ether นั่นเอง เพราะทุกครั้งที่แอปพลิเคชันของเรากำลังจะทำงานจะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียม (Gas) ซึ่งยิ่งตัวแอปพลิเคชันมีความซับซ้อนมากเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น หรือ ยิ่งเราอยากให้แอปพลิเคชันของเราทำงานเร็วขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จ่ายค่าธรรมเนียมก็จะมีราคาสูงขึ้นได้เช่นกันในแต่ละครั้ง และค่าธรรมเนียมที่เราจ่ายไปเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นรางวัลให้แก่ Validator ผู้ที่จะมาช่วยยืนยันธุรกรรมของเราบนเครือข่าย

ประวัติความเป็นมาโดยสังเขปของ Ethereum

จุดเริ่มต้นของ Ethereum เกิดจากหนึ่งในทีมผู้พัฒนา Bitcoin นามว่า Vitalik Buterin ชาวรัสเซีย (ขณะนั้น Vitalik อายุได้ 18 ปี) ค้นพบว่า Blockchain นั้นมีศักยภาพมากกว่าเพียงแค่นำมาทำสกุลเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียว ได้มีเสนอแนวคิดให้กับทีมผู้พัฒนา Bitcoin ในเรื่องการเพิ่มชุดคำสั่ง Smart Contract ซึ่งเปรียบเสมือนการเขียนเงื่อนไขเพื่อใช้ในการควบคุมการทำงานของชุดข้อมูลบนระบบ Blockchain เพื่อเพิ่มศักยภาพของ Bitcoin ให้เป็นมากกว่าสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งแนวคิดก็ได้ถูกปัดตกในที่ประชุม เขาจึงตัดสินใจลาออกจากทีมเพื่อมาพัฒนาระบบของเขาเองที่มีชื่อว่า “Ethereum” 

ในปี 2014 Ethereum ได้เริ่มระดมทุนผ่านกระบวนการ ICO สร้างกระแสตอบรับต่อคนในวงการได้เป็นดีเยี่ยม และเริ่มมีการซื้อขายเหรียญ Ether อย่างเป็นทางการในปี 2015 ซึ่งมาพร้อมกับนักพัฒนาทั่วโลกที่ต่างพัฒนาแอปพลิเคชันลงบนระบบ Ethereum อย่างไม่ขาดสาย โดยรวมแล้วโปรเจกต์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) แต่อย่างไรก็ตาม Vitalik เล็งเห็นศักยภาพของ Blockchain ที่สามารถเป็นได้มากกว่าการสร้างสกุลเงินดิจิทัล โดยเขาอยากพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ของโลกใหม่โดยตัดตัวกลางการเก็บข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ไว้กับตัวกลางเพียงไม่กี่รายบนโลก ทำให้ผู้ใช้งานมีสิทธิ์เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนตัวของเราได้อย่างแท้จริง เป็นแนวคิดระบบการกระจายศูนย์ (Decentralized System) หลักการคิดเดียวกับ Bitcoin

ปัจจุบันความนิยมของ Ethereum อยู่ในระดับที่สูงเป็นอันดับสองของโลกดิจิทัล แต่ทุกความสำเร็จมาพร้อมกับอุปสรรคที่พร้อมจะถาโถมได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกันอุปสรรคในการใช้งาน Ethereum ณ ปัจจุบัน คือ การประมวลผลที่ค่อนข้างช้า เพราะจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มมาขึ้นอย่างมหาศาล และค่าธรรมเนียม (Gas) ที่สูงหากเทียบกับเครือข่าย Blockchain อื่น ซึ่งทางทีมผู้พัฒนาก็ได้ออกมากล่าวถึงตัวอัพเดตที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2021 ที่จะมาช่วยให้ระบบทำงานได้มีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้ค่าธรรมเนียมพื้นฐาน (Gas) ถูกลงลงไปด้วย เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อยอดไปยัง Ethereum 2.0 ในอนาคตต่อไป

Ethereum ทำงานอย่างไร ?

Ethereum ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวิธีการทำงานของระบบหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตให้เป็นระบบแบบกระจายศูนย์ (Decentralized system) โดยตั้งใจจะเอาตัวกลางออกไป และประมวลผลทุกอย่างผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์บน Blockchain ของ Ethereum ซึ่งแต่ละจุดที่ใช้ในการประมวลผลและยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ บนเครือข่ายจะเรียกว่า โหนด (Node) หรือนักขุด Ethereum ซึ่งก็คือ Validator ซึ่งหน้าที่หลักของโหนดก็คือช่วยประมวลผลข้อมูลแทนการใช้เซิร์ฟเวอร์กลางแหล่งเดียว และบันทึกลงในบัญชีกลางของ Blockchain ทุกครั้งที่เกิดการประมวลผล หรือรับส่งข้อมูลบนเครือข่าย เหล่า Validator ก็จะได้รับผลตอบแทนจากการจ่ายค่าธรรมเนียมของผู้ใช้งานแอปพลิเคชันบนแพลทฟอร์มอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

ทุกแอปพลิเคชันที่ถูกสร้างขึ้นมาบนแพลทฟอร์มนี้ จะใช้ Smart Contract หรือเงื่อนไขที่ถูกเขียนลงบนระบบ ที่ทุกอย่างจะได้ตามผลลัพธ์ที่พึงประสงค์เมื่อทำตามเงื่อนได้ครบถ้วนละถูกต้องเท่านั้น เพื่อใช้ในการควบคุมระบบ และดำเนินงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะไม่มีใครสามารถเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง Smart Contract ในระบบนั้นได้ จึงทำให้ข้อมูลที่อยู่ในระบบมีความปลอดภัยสูง และผู้ใช้งานเป็นผู้ควบคุมได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ยกตัวอย่างการใช้งานในการลงทุน หากเราลงทุนกับกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงตัวหนึ่งบน Smart Contract โดยระบุไว้ว่ากองทุนดังกล่าวจะสามารถนำเงินที่เรานำไปฝากไว้เพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือ ลงทุน เท่านั้น และผลกำไรที่ได้จากการลงทุนจะเป็นของเรา (เจ้าของทุน) ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ปิดกองทุนแล้วหอบเงินหนี (ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นอยู่บ่อย) แต่เจ้าของเงินก็ยังสามารถนำเงินทุนพร้อมด้วยกำไร ออกมาจากกองทุนนั้นได้อยู่ดี ผ่านระบบ Smart Contract เป็นต้น

บนระบบ Ethereum จะถูกแบ่งออกเป็นชั้นทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่

  1. Ethereum Hardware Layer - Blockchain  ซึ่งก็คือระบบ Ethereum Blockchain ที่ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในระบบเข้าด้วยกันให้กลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในการส่งผ่านข้อมูลไปมาระหว่างกัน (Peer-to-Peer) และอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเหล่านี้สามารถสร้างฐานข้อมูลแบบกระจายที่ใช้ในการเก็บรวบรวมที่ถูกแจกจ่ายอยู่บนระบบไว้ด้วยกัน ซึ่งสามารถดูข้อมูลการประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์ได้ ที่นี่
  1. Ethereum Software Layer - Solidity นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Ethereum มีความน่าสนใจกว่าโปรเจกต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรม Blockchain ตรงที่ผู้พัฒนาสามารถใช้ชั้นนี้ในการพัฒนา คุณค่าของโปรเจกต์ในเรื่องอะไรก็ได้  ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นสกุลเงินดิจิทัลเพียงเท่านั้น ทำให้ผู้พัฒนาสามารถรังสรรค์ผลงานได้ในหลากหลายรูปแบบ ผ่านทางภาษาที่เรียกว่า “Solidity” เพื่อใช้ในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Smart Contract อีกทั้งทุก Smart Contract ดังกล่าวจะถูกตั้งเป็นสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนที่จะมาใช้บริการแอปพลิเคชันสามารถตรวจสอบความโปร่งใสในตัวของโค้ดได้
  1. Ethereum Application Layer - dApps จากการรวมกันของสองชั้นด้านบนที่ได้กล่าวไปข้างต้นทำให้ Ethereum สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมทั่วโลก เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้ชั้นสุดท้ายนี้พัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Decentralized Applications (dApps) ที่ปราศจากตัวกลางคอยควบคุม ขึ้นอยู่กับเหล่าทีมนักพัฒนาแล้วว่าอยากจะสร้างสรรค์โปรเจกต์แบบไหน

มูลค่าของ Ethereum

หลังจากผู้อ่านได้อ่านบทความเบื้องต้นของ Ethereum ไปแล้ว มูลค่าของ Ethereum ในเชิงคุณค่านั้นจะแตกต่างจาก Bitcoin โดยที่ Ether นั้นมีจำนวนไม่จำกัด แต่ Bitcoin มีจำนวนจำกัด แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีการเสนอให้จำกัดอุปทานของ Ether โดยการให้ยกเลิกระบบการใช้งานแบบ Proof of Work คือ ให้นักขุดเป็นคนยืนยันธุรกรรมให้แบบ Bitcoin มาเป็น Proof of Stake คือ คนมีเหรียญ Ether นำมาล็อคในระบบ (Stake) เพื่อใช้ในการยืนยันธุรกรรม โดยวิธีการ Proof of Stake จะเป็นสุ่มจากจำนวน Ether ที่ถือครอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งคุณมี Ether อยู่ในมือมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะถูกสุ่มให้เป็นผู้สร้างบล็อกในการบันทึกธุรกรรมบน Blockchain นั่นเอง นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้มูลค่าของ Ether บนกระดานเทรดมีการสะสมกันอย่างล้นหลามทั้งจากนักลงทุนรายย่อย และจากเหล่ากองทุนที่เปิดให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Ether ได้ผ่านกองทุน จนไต่ทำราคา All-Time-High ไปที่ $4,372 ต่อ 1 Ether (ข้อมูล ณ วันที่ 12/05/2021)

อย่างไรก็ตามถ้ามองกันในมุมเทคโนโลยีแล้ว Ethereum จะเข้ามามีส่วนในการปฏิวัติวงการอินเทอร์เน็ตในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้คนที่มองในเชิงนักลงทุนคุณค่า อาจเข้าซื้อเหรียญเพราะคุณกำลังจะได้ลงทุนในนวัตกรรมอย่างอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่สมัยยุคเเรกเริ่มอินเทอร์เน็ตเราไม่สามารถลงทุนกับเทคโนโลยีที่เราใช้อยู่เป็นประจำแบบนี้ได้ แต่ ณ ปัจจุบัน เราทำได้แล้ว ผ่านการซื้อเหรียญ Ether อีกทั้งการมองของ Ethereum 2.0  ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียม และเสถียรภาพในการใช้งานบนระบบของ Ethereum ซึ่งผู้เขียนคาดว่าคงไม่ได้มาในเร็ววัน แต่จะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนแก้ไขทีละนิดเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น คงต้องคอยติดตามดูกันต่อไปอนาคตว่าการเปลี่ยนแปลงของแพลทฟอร์มนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่อะไรออกมาให้เราได้เห็น